นางสาวโศภชา ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเป้ารายได้ปี 2564 (ปีนี้) เติบโตไม่น้อยกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 10,975 ล้านบาท มาจากการเติบโตของทุกธุรกิจ แบ่งเป็น 4 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจผลิต จัดหา และจัดจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับระบบไฟฟ้า คาดว่าในปีนี้จะเติบโต 10% ตามตลาด ตั้งเป้ายอดขายปีนี้อยู่ที่ 1,500 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจรับเหมาวิศวกรรมและระบบ (EPC) ปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) แล้ว 8,500 ล้านบาท และตั้งเป้าปีนี้จะเพิ่มเป็น 10,000 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ปีนี้ประมาณ 2,800 ล้านบาท ส่วนธุรกิจพลังงานบริษัทตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตในปีนี้อีก 100 เมกะวัตต์ จากการเข้าควบรวม หรือซื้อกิจการ (M&A) และโครงการโซลาร์รูฟในรูปแบบ Private PPA จากปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 624.2 เมกะวัตต์ และตั้งกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2566 นอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจการลงทุนเชิงกลยุทธ์และนวัตกรรม บริษัทคาดว่าจะสามารถทดสอบเดินเครื่องได้ภายในไตรมาส 1/2564 สำหรับธุรกิจพลังงาน บริษัทตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตที่จะเข้ามาอีกกว่า 400 เมกะวัตต์ ภายใน 3 ปีนี้ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนสำหรับโครงการโซลาร์ฟาร์มและโรงไฟฟ้าพลังงานลมประมาณ 1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเมกะวัตต์ ซึ่งเป็นการขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ตั้งเป้าสร้างรายได้ประมาณ 7,000 ล้านบาท อาทิ โครงการโซลาร์ฟาร์มที่อยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรหลายโครงการ แบ่งเป็นโครงการโซลาร์ฟาร์มในประเทศไทย บริษัทสนใจร่วมประมูลโครงการโซลาร์ฟาร์ม ของกองทัพบกเฟสแรก ที่คาดว่าจะเปิด 300 เมกะวัตต์, โครงการโซลาร์ฟาร์มที่เวียดนามและไต้หวัน นอกจากนี้ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในไทยและเวียดนามด้วย ส่วนโครงการโซลาร์รูฟในรูปแบบ Private PPA บริษัทตั้งเป้าขยายกำลังการเพิ่มขึ้นประมาณ 60-70 เมกะวัตต์ต่อปี จากปัจจุบันขายไฟแล้ว 80 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 200 เมกะวัตต์ภายใน 3 ปี นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาลงทุนในธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charging) อีกด้วย นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนลงทุนธุรกิจกัญชง-กัญชา ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีความพร้อมด้านพื้นที่ น้ำ ไฟแล้ว รวมทั้งบริษัทมีเงินลงทุนเพียงพอ นอกจากนี้มองว่ามีตลาดที่สามารถขายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้ ส่วนเรื่องราคาที่อาจถูกกดดันหากมีการปลูกเพิ่มขึ้นนั้น มองว่ามีหลายตลาด ซึ่งบริษัทจะเน้นส่งออกไปยังตลาดผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ภายในปลายปีนี้ ส่วนมูลค่าการลงทุนเฟสแรกคาดว่าจะยังใช้เงินไม่มากนัก รวมทั้งคาดว่าหากเฟส 2 และเฟส 3 รวมทั้งโรงงานสร้างเสร็จคาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวมหลักพันล้านบาท และคาดว่าจะมียอดขายหลักพันล้านบาทเช่นกัน